ท่านเขียนถึงเรา

จากชีวิตกรรมกรเงินร้อยสู่มหาเศรษฐีสองพันล้าน

viwat pic
ในประเทศไทยยังมีนักธุรกิจท่านหนึ่งที่มีทั้งความสำเร็จสูงและยังเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคมท่านหนึ่งของวงการธุรกิจ อีกทั้งท่านผู้นี้ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในแวดวงด้านการศึกษา   ท่านเป็นสุภาพบุรุษที่มีรูปร่างเล็กๆแต่กลับมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ และเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล  !!!
ท่านที่ผมกล่าวาถึงทั้งหมดเบื้องต้นนี้แม้ว่าท่านจะอายุอ่อนกว่าผมแต่ด้วยความนับถือผมขอเรียกว่า  “  ท่านองอาจ กิตติคุณชัย  ” 
ทั้งนี้ผมได้เข้าไปรู้จักและสัมผัสกับนักธุรกิจท่านนี้เมื่อสองปีก่อน โดยท่านอธิการบดี  ดร  . ณรงค์ ชวสินธุ์ แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท  – เชียงใหม่ได้แนะนำให้รู้จัก ครั้งที่ท่านองอาจได้รับเชิญให้เป็นคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้
ผมมีความรู้สึกประทับใจต่อท่านองอาจตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน และความรู้สึกดีๆนี้ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมและท่านองอาจมีโอกาสได้ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์หลายครั้งหลายคราด้วยกัน
ใครก็ตามหากเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ มีชีวิตครอบครัวที่ดี มีความโอบอ้อมอารี มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ก็น่าจะครอบคลุมหมดแล้วว่าคนๆนั้นเป็นคนดี โดยไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือตำแหน่งยศศักดิ์สูงส่งในวงสังคมมากนัก  !!!
ทว่าท่านองอาจมีอุปนิสัยใจคอที่ดีมาก และยังมีคุณสมบัติประจำตัวของท่านที่ผมเห็นค่อนข้างเด่นชัดก็คือ แม้ท่านจะมีรูปร่างเล็กๆแต่กลับเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัด มีความมั่นใจสูง มีความกระตือรือร้นทะเยอทะยาน และยังเป็นนักฟังที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว
ผมมีความตั้งใจที่จะขอสัมภาษณ์ท่านองอาจนานมาแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้นั่งสนทนาพูดคุยกับท่านอย่างเปิดอกเมื่อวันศุกร์ที่  13 มกราคมที่เพิ่งผ่านมานี้เอง
ท่านองอาจเป็นคนที่เปิดใจ พูดตรงไปตรงตรงมาไม่อ้อมค้อม เป็นคนรักศักดิ์ศรีของตนเอง ซึ่งบทความสัปดาห์นี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านทุกคนในการพัฒนาชีวิตที่ดีของตนเอง เพราะท่านองอาจถือเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยม  !!!
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมท่านที่บริษัทซันสวีท ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ
ทั้งนี้ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเชิงลึก ทำให้ได้ทราบถึงเบื้องหลังชีวิตของท่านตลอดไปจนถึงความเป็นมาของความสำเร็จในธุรกิจ และยังได้รับเกียรติจากท่านองอาจพาผมเดินชมโรงงานของท่านที่มีคนงานกว่า  700  คน
แม้ว่าท่านองอาจจะจบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาที่  7 ก็ตาม แต่เปรียบเสมือนท่านได้ผ่านการศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชนมากทีเดียว
ปกติแล้วความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนนั้น มักจะได้มาสองทางคือ ทางหนึ่งค่อนข้างปลอดภัยก็คือ โดยการศึกษาร่ำเรียนหนังสือจนถึงระดับมหาวิทยาลัยให้สูงที่สุด และอีกทางหนึ่งก็คือ ผ่านทางมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต  !!!
โดยท่านองอาจผ่านมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ไม่จำเป็นจะต้องผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง ซึ่งถือได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนและไม่ใช่ธรรมดาๆ
ด้านประวัติชีวิตครอบครัวคุณพ่อของท่านองอาจอพยพมาจากประเทศจีนและปักหลักอาศัยอยู่ที่จังหวัดพิจิตร และได้ย้ายไปยังจังหวัดพิษณุโลก โดยยึดอาชีพเป็นพ่อค้าส่งผัก และค้าเสื้อผ้ากางเกงให้แก่ชาวไร่ชาวนา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณพ่อของท่านองอาจต้องเสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรียที่การรักษาในสมัยนั้นค่อนข้างล้าสมัย โดยคุณพ่อของท่านองอาจเสียชีวิตด้วยอายุ  42 ปี ตอนที่ท่านองอาจยังมีอายุได้เพียง  4 ขวบเท่านั้น  !!!
เมื่อคุณพ่อซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักในครอบครัวจากไปอย่างไม่มีวันกลับ คุณแม่ซึ่งเคยเป็นแต่เพียงแม่บ้านมีหน้าที่ดูแลลูกๆก็จำเป็นต้องออกไปทำงาน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องลูกน้อยๆทั้งห้าชีวิต โดยท่านไม่เคยเลือกงานเพียงแต่ขอให้งานนั้นเป็นงานสุจริตเช่น เป็นแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาด รับจ้างเย็บผ้าโหล ซึ่งท่านเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆทำแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าค่อนข้างขัดสนแม้จะพยายามกระเบียดกระเสียรแล้วก็ตาม แต่คุณแม่ก็ยังไม่สามารถส่งเสียให้ท่านองอาจเรียนต่อได้
ท่านองอาจเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆมีอายุเพียง  12 ขวบ แต่ก็ต้องออกไปช่วยคุณแม่หาเงินเพิ่มอีกทางเพื่อมาช่วยเหลือจุนเจือทางบ้าน โดยใช้รถเข็นๆออกไปขายไอศกรีมแท่ง ลูกโป่ง ข้าวเกรียบกุ้ง หนังสือพิมพ์ และเรียงเบอร์ตรวจลอตเตอรี่ ซึ่งท่านเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า มีรายได้วันละบาทสองบาทไปจนถึงบางวันได้วันละยี่สิบกว่าบาทก็มี  !!!
ท้ายที่สุดท่านองอาจหาทางช่วยเหลือตัวเองตัดสินใจจากบ้านออกเดินทางไปทำงานในโรงงานผลิตกระป๋องที่จังหวัดสมุทรปราการ ทำทั้งปั๊มฝาโลหะ แบกหามเป็นกรรมกรติดรถส่งของ โดยท่านองอาจบอกว่าก็คือจับกังดีๆนั่นเอง ที่ต้องแบกของหนักแสนหนักนับสิบๆกิโลบนไหล่ และยังทำหน้าที่เดินหนังสือ เก็บถ้วยชามทำทุกอย่างที่เจ้านายบัญชา
เนื่องจากรายได้ค่อนข้างมีจำกัด ท่านองอาจเล่าให้ผมฟังว่า ปีหนึ่งท่านสามารถซื้อเสื้อผ้าได้เพียงชุดเดียว แถมโอกาสที่จะได้ลิ้มลองอาหารอร่อยๆนั้นแทบจะไม่มีเลย
แต่ในส่วนลึกของหัวใจท่านก็คือ หวังและตั้งใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีธุรกิจเป็นของตนเอง
เมื่ออายุเบญจเพสครบยี่สิบห้าปี ท่านองอาจตัดสินใจนำเงินที่สะสมจากการทำงานทั้งหมดออกมาลงทุน โดยซื้อกิจการทำน้ำดื่มบรรจุถังส่งขายในกรุงเทพและตามหัวเมืองใกล้เคียง ซึ่งท่านต้องรับหน้าที่ขับรถหกล้อและแบกถังน้ำด้วยตนเอง
และในปี  2527 ท่านองอาจต้องระหกระเหินเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำของไปส่งโดยที่ไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว
ด้วยความเป็นคนใจกล้ามองการณ์ไกล เมื่อท่านองอาจเดินทางมาถึงเชียงใหม่ ท่านเล็งเห็นโอกาสอันดีจึงได้หาเช่าโกดัง เพื่อเก็บผลิตผลลำไย ลิ้นจี่ มะเขือเทศ มะกอกน้ำ ขิงอ่อน ขิงแก่ กระเทียม ผัดกาดเขียวปลี หน่อไม้ พริกชี้ฟ้า เพื่อกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคต่างถิ่น นับว่าท่านองอาจเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในชั้นเชิงการตลาด
ทั้งนี้ท่านองอาจยังถือโอกาสเช่าโกดังเก็บสินค้า ทั้งๆที่ไม่มีเงินทุนเลย โดยผมได้ตั้งคำถามว่า ขณะนั้นท่านมีเงินอยู่ในกระเป๋าเท่าไหร่ขณะที่ไปขอเช่าโกดัง !!!
ท่านองอาจได้แต่เพียงหัวเราะเสียงดังตอบผมว่า  “ ไม่มีเลย ”   ซ้ำบางครั้งเจ้าของโกดังบางแห่งค้างชำระค่าน้ำค่าไฟ ที่ท่านองอาจต้องวิ่งหาเงินเสียค่าน้ำค่าไฟอีกต่อหนึ่งด้วย ซึ่งนับว่ามีความกล้าได้กล้าเสียมากๆ
ปี  2526-2529  เป็นช่วงก้าวกระโดดอีกขั้นหนึ่งที่ท่านตัดสินใจเช่าโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปอาทิเช่น ซอสมะเขือเทศ หน่อไม้กระป๋อง ทำลำไยกระป๋อง และข้าวโพดอ่อนกระป๋อง
และในปี  2534-2536  นับว่าเป็นช่วงก้าวกระโดดขั้นที่สอง ที่โรงงานกว้างถึง  41  ไร่มีอาคารใหญ่โตทันสมัยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่เรียกว่า  “ ต้มยำกุ้ง  ” ซึ่งเป็นช่วงแสนจะหนักหน่วงโดยแทบจะล้มทั้งยืนเหมือนกับธุรกิจทั่วๆไป โดยคาดไม่ถึงมาก่อนลูกค้าขาประจำก็ไม่มีเงินจ่ายจนท่านองอาจเองก็ไม่มีเงินผ่อนหนี้ธนาคาร
โดยเพื่อนๆของท่านต่างเสนอแนะให้หนีเจ้าหนี้ แต่ท่านองอาจกลับไม่ทำเช่นนั้น ท่านวางตัวอย่างทระนงองอาจสมดั่งชื่อไม่ยอมหนีหนี้ โดยได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า จะต้องสร้างเครดิตให้กลับคืนมาโดยยึดคติว่า  “  ต้องเรียกความศรัทธาให้กลับคืนมาและต้องสร้างธุรกิจให้ดียิ่งๆขึ้นกว่าเดิม  ”
ท้ายที่สุดด้วยความมานะพากเพียรเป็นเวลาสี่ปีเต็มๆ ท่านองอาจสามารถฟื้นตัวลุกขึ้นยืนด้วยลำแข้งได้อย่างสง่าผ่าเผยจนสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆได้จนหมดสิ้น
ปี  2547 เป็นต้นมาธุรกิจผลิตข้าวโพดหวานประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนธุรกิจสามารถฟื้นตัว
ขณะนี้บริษัทซันสวีทมีพนักงานกว่าเจ็ดร้อยคน มีเครื่องมืออันแสนทันสมัยมีการจัดการแบบเป็นระบบทั้งหมด สินค้าออกสู่ตลาดกว่าเจ็ดสิบประเทศ มีการควบคุมคุณภาพชั้นดีเยี่ยม และขณะที่ผมเดินเยี่ยมชมโรงงานอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นพนักงานแต่งตัวชุดยูนิฟอร์มสะอาดสะอ้าน ทำงานกันอย่างขะมักขเม้น  ซึ่งท่านองอาจบอกว่าการที่ผู้ประกอบธุรกิจสามารถซื้อใจพนักงานได้จะต้องมีความซื่อสัตย์และสร้างความไว้วางใจให้แก่เหล่าบรรดาพนักงานให้พวกเขาได้รับค่าตอบแทนอย่างยุติธรรมที่สุด  !!!
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดปรากฏว่าสินค้าที่ส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆถึง  70 ประเทศทั่วโลกนั้น ไม่มีคำว่าถูกส่งคืนเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะท่านองอาจคำนึงถึงคุณภาพที่จะต้องผ่านขั้นตอนอย่างมีระบบสะอาดปลอดภัยผ่านตามมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ผมได้เดินชมโรงงานผลิตข้าวโพดหวานแบบครบวงจรอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมง  ทำให้ผมประจักษ์ว่า เป็นการผลิตสินค้าแบบควบคุมมาตรฐานดีเยี่ยมที่ข้าวโพดทุกๆฝักจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยข้าวโพดฝักไหนที่ไม่ผ่านมาตรฐานจะถูกแปรรูปเป็นอาหารสัตว์อีกต่อหนึ่งหรือเพื่ออย่างอื่นๆ
ส่วนระบบบริหารน้ำก็ผ่านการตรวจสอบอย่างดีเยี่ยม โดยส่งเสริมความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นแล้วท่านองอาจยังมีคลังสมองในทุกๆด้านถึงยี่สิบคน โดยผมคิดว่ากลุ่มมันสมองระดับประเทศนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สานความฝันของท่านองอาจให้เป็นจริง โดยกลุ่มมันสมองเหล่านี้ล้วนมีความมุ่งมั่นที่ทำงานเป็นทีมเวิร์ค ซึ่งนับว่าเป็นแบบอย่างที่ผู้ประกอบธุรกิจทั้งหลายน่าจะนำไปใช้
การเดินทางไปเยือนลูกค้ายังประเทศต่างๆทั่วโลก และสืบตลาดท่านองอาจก็ได้ปฏิบัติเป็นประจำไม่หยุดยั้ง ที่ท่านต้องการจะเรียนรู้สิ่งแปลกๆใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น
ขณะนี้ธุรกิจข้าวโพดหวานแช่แข็งของท่านองอาจคุมตลาดถึง  25  เปอร์เซ็นต์ของประเทศ นับเป็นธุรกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว
ส่วนการศึกษาแบบต่อเนื่องของท่านองอาจนั้น ยังมิได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด และการที่ท่านองอาจเข้าไปศึกษามินิเอ็มบีเอรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น ก็นับว่าท่านองอาจต้องการจะเรียนรู้ด้านบริหารแบบต่อยอดทั้งด้านการบัญชี การเงิน การตลาด สถิติ การเงิน และการวางกลยุทธ์ของธุรกิจ
ส่วนความสำเร็จทางด้านโรงงานนั้น ปรากฏว่าได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ยากที่ผมจะนำมาถ่ายทอด ณ ที่นี้ได้หมดเนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด
สำหรับงานเพื่อสังคมท่านองอาจก็ยังทุ่มเท โดยผมได้มีโอกาสร่วมงานกับท่านหลายครั้งหลายครา และผมรู้สึกประทับใจทุกๆครั้งที่ท่านรับหน้าที่เป็นประธานการประชุม ซึ่งท่านสามารถดำเนินการได้อย่างดีเยี่ยม!!!
และนอกจากนั้นท่านองอาจยังเคยเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
และจากความสำเร็จเช่นนี้มหาวิทยาลัยแม่โจ้เล็งเห็นเป็นอย่างดีถึงกับมอบดุษฎีบัณฑิตให้แก่ท่านองอาจเมื่อปี  2011
แม้ว่าขณะนี้ท่านองอาจจะมีอายุหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่ปรากฏว่าท่านยังมีความมุ่งมั่นว่าสักวันหนึ่งท่านอยากจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดให้ได้ ซึ่งผมมั่นใจว่าท่านจะไปถึงความฝันนั้นได้อย่างแน่นอน  !!!
ทั้งนี้และทั้งนั้นผมขอชื่นชมปรัชญาของท่านองอาจ กิตติคุณชัย ที่ท่านกล่าวเอาไว้ว่า สิ่งที่เราจะต้องทำเป็นอย่างแรกๆเหนืออื่นใดก็คือ การสร้างความเป็นปึกแผ่นและสร้างความเชื่อถือ  (Trust)   ให้เกิดขึ้นทั้งต่อครอบครัว ต่อบุคลากร ตลอดจนกระทั่งต่อลูกค้าผู้มีอุปการะคุณ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในความมีศักดิ์ศรีและยังเป็นการซื้อใจให้กับทุกๆฝ่ายอีกด้วย
และถึงแม้ว่าท่านองอาจจะมิใช่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยก็ตาม แต่ตลอดเวลาท่านได้ปฏิบัติการเรียนรู้แบบลองถูกลองผิด ซึ่งวิธีนี่แหละที่พร่ำสอนตอกย้ำให้ท่านองอาจดำเนินชีวิตไปอย่างรอบคอบมีสติ เพราะท่านได้กลายเป็นบัณฑิตในรั้วของมหาวิทยาลัยชีวิตหรือมหาวิทยาลัยโลกไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ท่านองอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามที ประกอบกับความทุกข์เข็ญที่ท่านเคยประสบมาด้วยตนเอง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ เกิดความมุ่งมั่นและเกิดความอดทนอย่างเป็นเลิศ ด้วยเหตุนี้แหละครับที่ท่านองอาจน่าจะเป็นต้นแบบที่น่านำมาเป็นตัวอย่างต่อท่านผู้อ่านอีกด้วยละครับ.
โดย…ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

Comments

Popular Posts